ประวัติ ของ มาโนฮารา โอเดเลีย พีนอต

พื้นฐานครอบครัว

จำเดิม เดซี ฟาจารีนา (Daisy Fajarina) เคยสมรสครั้งแรกกับเอดี (Edy) ชายชาวอินโดนีเซีย ต่อมาสมรสหนที่สองกับจอร์จ มันซ์ (George Manz) ชายชาวอเมริกัน มีบุตรด้วยกันคือมาโนฮารา แต่ทั้งสองหย่าจากกันใน ค.ศ. 1994 เดซีจึงสมรสหนที่สามกับเยือร์เกิน ไรเนอร์ โนอัค-พีนอต (Juergen Reiner Noack-Pinot) ชายสัญชาติเยอรมัน ซึ่งต่อมารับมาโนฮาราเป็นลูกบุญธรรม เธอจึงใช้นามสกุลของพ่อเลี้ยงแทน

ต่อมาซาลีฮา (Saliha) ลูกสาวบุญธรรมของเดซี ฟาจารีนา แจ้งความว่าเธอถูกเดซีและพีนอตซึ่งเป็นแม่และพ่อบุญธรรมล่วงละเมิดทางเพศและทำร้ายร่างกาย เดซีถูกตัดสินให้จำคุก 18 เดือน ส่วนนายพีนอตถูกตัดสินให้จำคุกเพียง 4 เดือน เดซีพร้อมลูกสาวสองคน คือ มาโนฮารา และเดวี ซรี อาซิฮ์ (Dewi Sri Asih) หลบหนีออกจากประเทศฝรั่งเศสไปอินโดนีเซีย จนถึงตอนนี้เธอยังมีหมายจับในประเทศฝรั่งเศสในฐานะ "ผู้จัดหาหญิงเปราะบางและต้องการที่พึ่งพาอาศัย ให้ไปทำงานที่ไม่มีมาตรฐาน และทำร้ายร่างกายมาตั้งแต่ ค.ศ. 1998"[3]

ความสัมพันธ์กับเจ้าชายฟาครี

มาโนฮาราตกเป็นที่สนใจอย่างกว้างขวางในสื่อมวลชนอินโดนีเซียเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2009 หลังเดซี ฟาจารีนา มารดา กล่าวหาว่าเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี เปตรา (Tengku Muhammad Fakhry Petra) เจ้าชายแห่งรัฐกลันตันซึ่งเป็นสามีของมาโนฮารา ลักพาตัวมาโนฮาราไป[4]

มาโนฮาราพบกับเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี ครั้งแรกในงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จัดโดยนาจิบ ราซัก รองนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในขณะนั้น เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 2006[5] โดยเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี เสกสมรสกับมาโนฮารา หญิงชาวอินโดนีเซียวัย 16 ปี เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ. 2008 ซึ่งการแต่งงานดังกล่าวไม่มีพยาน (วะลีย์) และไม่มีเอกสารทางกฎหมายจากสถานทูตอินโดนีเซีย

ระหว่างที่อยู่ในรัฐกลันตัน มาโนฮาราต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจจากสามีมายาวนาน ด้วยเหตุนี้เธอจึงลอบหนีกลับอินโดนีเซียผ่านทางสิงคโปร์ เติงกูมูฮัมมัด ฟาครีพยายามง้อมาโนฮาราด้วยการซื้อรถยนต์หรูให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 รวมทั้งเชิญชวนให้มาโนฮารา เดซี มารดา และเดวี น้องสาวต่างมารดา ไปทำอุมเราะฮ์ที่มักกะฮ์ด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 2009 หลังเสร็จสิ้นการแสวงบุญที่มักกะฮ์ มาโนฮาราหายตัวไป ส่วนเดซีและเดวีก็ถูกทิ้งไว้ที่สนามบินแห่งหนึ่งในมักกะฮ์ เดซีจึงขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอินโดนีเซียและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติให้พามาโนฮาราที่ถูกลักพาตัวไปกลับคืนมา[6]

ประเด็นการหายตัวไปของมาโนฮาราเป็นที่สนใจมากขึ้น หลังนาจิบ ราซัก นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หลีกเลี่ยงการตอบคำถามเกี่ยวกับมาโนฮาราซึ่งถามโดยซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย เมื่อครั้งพบปะกันที่จาการ์ตา เมื่อ 23 เมษายน ค.ศ. 2009[7] เดซี มารดาของมาโนฮาราจัดการแถลงข่าวหน้าคณะกรรมาธิการแห่งชาติว่าด้วยความรุนแรงต่อเด็กและสตรีกรุงจาการ์ตา โดยตัดพ้อว่าทางการมาเลเซียห้ามเธอเดินทางเข้าประเทศมาเลเซียเพื่อไปหาลูกสาว ซึ่งเปรียบได้กับเหตุการณ์การเสียชีวิตของชารีบูกี อัลตันตูยา[8] ทางการอินโดนีเซียได้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลมาเลเซียอธิบายว่าเพราะเหตุใดจึงไม่อนุญาตให้นางเดซีไปเยี่ยมลูกสาว ท่ามกลางการกล่าวอ้างว่าเจ้าชายของมาเลเซียล่วงละเมิดมาโนฮารา[9]

ต่อมาสุลต่านแห่งกลันตันทรงพระประชวรและเข้ารับถวายการรักษาที่ประเทศสิงคโปร์ มาโนฮาราได้ตามเสด็จไปด้วย ในเวลานั้นเดซีอยู่ที่สิงคโปร์เช่นกัน จึงสอบถามชื่อโรงแรมจากลูก ครั้นมาโนฮาราจะหลบหนีออกจากโรงแรม บอดีการ์ดกลันตันพยายามให้เธอหยุดที่ชั้นสามที่สุลต่านประทับอยู่ แต่จากความช่วยเหลือจากสถานทูตสหรัฐ เธอจึงหนีไปยังท่าอากาศยานนานาชาติชางงีและบินกลับอินโดนีเซียพร้อมมารดาได้สำเร็จเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ค.ศ. 2009[10] มีการจัดแถลงข่าวออกโทรทัศน์ โดยมาโนฮาราออกมายืนยันคำพูดของมารดาว่าเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี ทำร้ายร่างกายและจิตใจของเธอจริง[11] และกล่าวอีกว่าเธอจะไม่เดินทางกลับไปกลันตันอีก และตั้งใจจะฟ้องหย่ากับเติงกูมูฮัมมัด ฟาครี[12]

รัตนา ซารุมปาเยต (Ratna Sarumpaet) นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิสตรีผู้เคยให้ความช่วยเหลือมาโนฮาราและเดซี ได้ถอนการเสนอที่จะช่วย โดยให้เหตุผลว่าหญิงทั้งสองขาดมุ่งมั่นตั้งใจในการดำเนินคดีต่อ[13] ส่วน โอ. ซี. กาลีกิส (O. C. Kaligis) ทนายความซึ่งเคยเสนอตัวเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย ก็ถอนตัวจากการเป็นตัวแทนของมาโนฮาราเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่ามีปัญหาด้านการรวบรวมหลักฐานและการให้ข้อมูล[14] ต่อมากระทรวงการต่างประเทศของอินโดนีเซียเสนอที่จะให้ความช่วยเหลือและยื่นรายงานต่อตำรวจมาเลเซียในนามของมาโนฮารา โดยเธอต้องยื่นแสดงหลักฐานสำคัญออกมาทั้งหมด แต่มาโนฮาราปฏิเสธการช่วยเหลือ และไม่ยอมส่งมอบรายงานทางการแพทย์แก่ทนายความชาวมาเลเซีย ที่สุดทนายความคนดังกล่าวได้ยื่นคำร้องขอให้เขาออกจากคดี[15]

ต่อมาซาฮีลา ลูกสาวบุญธรรมของเดซี เดินทางกลับสู่ประเทศอินโดนีเซีย หลังใช้เวลากว่าสิบปีในการนำตัวแม่บุญธรรมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ฮัซซัน วีราจูดา (Hassan Wirajuda) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า เขาได้รับเอกสารจากสถานกงสุลใหญ่เมืองมาร์แซย์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเนื้อหาขอให้รัฐบาลอินโดนีเซียเร่งรัดคดีของเดซีให้รับโทษจำคุก[16]

เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 มาโนฮาราระบุในสตอรีอินสตาแกรมระบุว่าเธอเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ โดยอ้างว่าเปลี่ยนมานานแล้ว และไม่ใช่กงการอะไรของใคร เพราะเป็นเรื่องระหว่างเธอกับพระเจ้า[17]

แหล่งที่มา

WikiPedia: มาโนฮารา โอเดเลีย พีนอต http://asiasentinel.com/index.php?option=com_conte... http://m.kapanlagi.com/showbiz/selebriti/komnas-ha... http://m.kapanlagi.com/showbiz/selebriti/manohara-... http://m.kapanlagi.com/showbiz/selebriti/menguak-h... http://entertainment.kompas.com/read/xml/2009/05/2... http://megapolitan.kompas.com/read/2009/06/06/1159... http://newsbizarre.com/2009/06/manohara-odelia-pin... http://www.thejakartapost.com/news/2009/04/24/ri-d... http://www.mmail.com.my/content/14241-it%E2%80%99s... http://www.mmail.com.my/content/7246-my-exwifes-ev...